* กดรับ Link นิยายรสแซ่บได้ที่ปกทุกปกเลยจ้าา *

niyayZAP Related E-Books Related E-Books Related E-Books Related E-Books Series E-Books niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books niyayZAP Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน niyayZAP Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP Related E-Books niyayZAP niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books  Series E-Books

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

#1 คุณหมอตัวน้อย..คุณคาวบอยยอดรัก

คุณหมอตัวน้อย..คุณคาวบอยยอดรัก

(ชิป, แห่งไร่ฟลายอิ้งยู โดย : บี.เอ็ม. โบเวอร์)

บทที่ 1 - น้องสาวของชายชรา

เมื่อไปรษณีย์ประจำสัปดาห์เพิ่งมาถึงฟาร์มฟลายอิ้งยู; และชอร์ตี้ ผู้ที่ขี่ม้าไปรับพัสดุไปรษณีย์ที่ดรายเลคช่วงบ่ายวันนั้นก็โยนจดหมายกองโตให้ 'ชายชรา' แล้วกำลังจะเดินกลับไปที่คอกม้า แต่ถูกเจ้าของไร่เรียกไว้เสียก่อน

"ชอร์ตี้! เฮ้ย! ชอร์ตี้!"

ชอร์ตี้กระแทกม้าที่กำลังส่งฝุ่นคลุ้งที่ซี่โครงแล้วหันม้ากลับมา ม้าของเขายกขาหน้าเมื่อมันถูกดึงให้หยุดกะทันหันที่หน้าระเบียงบ้านหลังใหญ่

"จดหมายนี่ไปอยู่ที่ไหนมา?" ชายชราถามด้วยความตื่นเต้น เจมส์ จี. วิทมอร์ เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์คงแปลกใจมากถ้ารู้ว่าพวกคาวบอยหนุ่มๆ ในไร่มักจะเรียกเขาลับหลังว่า ‘ชายชรา’ เจมส์ จี. วิทมอร์ ไม่คิดว่าตัวเองแก่ แม้เขาจะยังคงหล่อเหลา ดูดีกว่าอายุ แต่ก็ต้องยอมรับหลังจากการขี่ม้านานหลายชั่วโมงว่าโรคกระดูกไขข้อเล่นงานเขาเข้าให้แล้ว .. ซึ่งเขาโทษว่าเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตแบบหยาบๆ มาสิบสี่ปี นอกจากนี้ ยังมีประกายสีเงินบนศีรษะของเขาที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แม้มันจะทำให้เขาดูภูมิฐานมากขึ้น แต่ตอนนี้มันก็สว่างมากจนเห็นได้ชัดเจนขณะเขายืนอยู่กลางแสงแดดที่ส่องลงบนทางเดินหน้าบ้าน โบกซองสี่เหลี่ยมอยู่ต่อหน้าชอร์ตี้ ขณะที่คาวบอยหนุ่มยังคงมองมาที่เขาอย่างเย็นชาสุดๆ

ต่างกับม้าของชอร์ตี้ มันกลอกตาจนเห็นแต่ตาขาว ฮึดฮัดและถอยหนีจากวัตถุสีขาวที่กระพือปีก

"บ้าเอ๊ย! จดหมายฉบับนี้หายไปไหนมา!" เจมส์ จี. โวยวาย ด้วยน้ำเสียงกล่าวโทษ 

"แล้วปีศาจตัวไหนจะมาบอกให้ผมต้องรู้เหรอ?" ชอร์ตี้โต้ตอบขณะบังคับม้าของเขาเดินเข้ามาใกล้ "น่าจะอยู่ที่สำนักงานนั่นแหละ ผมเพิ่งได้รับมันมาพร้อมพัสดุกองอื่นๆ วันนี้เอง" 

"มันผ่านมาสองอาทิตย์แล้วนี่สิ!" เจมส์ จี.บ่นเสียงดัง "ไม่เคยพลาดเลย .. ถ้าจดหมายบอกว่าใครจะมา หรือคุณต้องรีบไปเจอใครที่ไหน จดหมายฉบับนั้นแหละที่จะเตลิดไป เมลจะถูกเปิดช้าจนแทบไม่ทันการณ์ พวกจดหมายที่ถามว่าคุณอยากรวยภายในสิบวันจากการขายหนังสือหรืออะไรทำนองนั้นมั้ย แต่มันกลับโผล่มาที่นี่ไว๊ไว เหมือนลิงคาบมา..หมาคาบไป แม่งเอ๊ย!" 

"คุณมีธุระเร่งด่วนที่ต้องไปไหนหรือ?" ชอร์ตี้ถามด้วยความเห็นใจเล็กน้อย 

"แย่กว่านั้นอีก" เจมส์ จี. คราง "น้องสาวของฉันจะมาพักร้อนที่นี่ พรุ่งนี้ แถมไม่มีใครทำกับข้าวแทนแพทซี่ แล้วเธอก็ไม่สามารถกินที่โรงอาหารได้ แถมบ้านก็รกเหมือนร้านขายของเก่า!"

"ดูเหมือนว่าคุณจะเจอศึกหนักมากเลยนะ" ชอร์ตี้พูดพลางยิ้ม - ชอร์ตี้เป็นหัวหน้าคนงานคนหนึ่ง จึงได้รับอนุญาตให้พูดจาได้อย่างอิสระ

"ต้องมีคนไปรับเธอซะหน่อย - ให้ชิปไปเอาทีมม้าสีครีมมาและปล่อยให้เขาทำเรื่องนั้นต่อไปให้เสร็จ แล้วก็ส่งพวกผู้ชายบางคนขึ้นมาช่วยฉันขุดนู่นถอนนี่หน่อย เดลล์ไม่เคยอยู่อย่างลำบาก เธอเพิ่งออกจากโรงเรียนแพทย์ เธอมีใบประกาศนียบัตรแล้วนะ เธอเล่าให้ฉันฟังในจดหมายฉบับล่าสุดก่อนหน้านี้ เธอจะเจอกับจุลินทรีย์เป็นล้านๆ ในกระท่อมเก่าๆ นี่ เอ่อ แล้วเดี๋ยวนายไปบอกแพทซี่ด้วยว่าฉันจะไปกินข้าวเย็นสายกว่าที่เคย และบอกให้เขาเตรียมตัวและทำอาหารที่ผู้หญิงชอบ - เค้กหรืออะไรทำนองนั้น แพทซี่จะรู้เอง ฉันยอมจ่ายเป็นดอลลาร์หนึ่งซะหน่อยเพื่อเอาไอ้เจ้าหนุ่มตัวเล็กนั่นเข้ามาไว้ในออฟฟิศ"

แต่ชอร์ตี้ฟังแค่พอรู้เรื่อง เขารีบวิ่งลงเนินยาวไปที่คอกม้าอีกครั้ง ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว และชอร์ตี้ก็หิว นอกจากนั้นยังมีข่าวที่จะบอก และเขาอยากรู้ว่าพวกคนงานหนุ่มๆ จะรับมือกับมันยังไง - เขาเพิ่งปล่อยม้าเสร็จ อาหารเย็นก็ถูกเรียก เขารีบวิ่งกลับขึ้นเนินไปที่โรงอาหาร ล้างมืออย่างรวดเร็วในกะละมังสังกะสีที่มีม้านั่งวางข้างประตู เช็ดหน้าให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวแบบม้วน แล้วเข้าไปนั่งประจำที่โต๊ะยาวด้านใน

"มีจดหมายมาหาผมบ้างไหม?" แจ็ค เบทส์เงยหน้าขึ้นจากการใส่ก้อนน้ำตาลก้อนที่สามลงไปในกาแฟ 

"ไม่มี - เธอไม่ได้เขียนมาหรอกคราวนี้ แจ็ค" ชอร์ตี้เอื้อมแขนไปหยิบ 'สตูว์มัลลิแกน'

"งานเต้นรำเป็นไงบ้าง?" แคล เอมเม็ทท์ถาม 

"เดาว่าน่าจะโอเคนั่นแหละ พวกเขามีวงดนตรีมาเล่น โรงแรมเตรียมต้อนรับแขกที่อาจจะมากันเยอะมากแน่ๆ ถ้าอากาศยังคงแจ่มใสแบบนี้; ชิป นายใหญ่อยากให้นายจัดการเรื่องทีมม้าสีครีมหลังมื้อเย็น นายต้องไปรอรับรถไฟพรุ่งนี้นะ" 

"รถไฟขบวนไหน?" ชิปเงยหน้ามองขึ้นมา "ตาดั๊งค์เฒ่าจะมาเหรอ?"

"ขบวนเที่ยงตรง, และเปล่าเลย นายใหญ่ไม่ได้พูดถึงอะไรเกี่ยวกับดั๊งค์ และเขาอยากให้พวกนายกลุ่มหนึ่งขึ้นไปขุดดินที่ออฟฟิศแล้วก็จัดการให้มันเรียบร้อยเพื่อต้อนรับแขก มันต้องเสร็จภายในคืนนี้ ส่วนแพทซี่ นายใหญ่สั่งให้นายรีบไปทำอาหารอะไรสักอย่างที่มันกินได้; อะไรที่มันไม่เต็มไปด้วยจุลินทรีย์"

ชอร์ตี้แสร้งทำเป็นยุ่งอยู่กับการเป่ากาแฟ เขาสนุกกับการมองอารมณ์ที่แตกต่างกันไปบนใบหน้าของพวกหนุ่มๆ

"ใครจะมาเหรอ?"

"มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?"

ชอร์ตี้จิบกาแฟช้าๆ สองสามที ก่อนจะตอบ

"น้องสาวของนายใหญ่จะมา .. อยู่ทั้งฤดูร้อน หรืออาจจะนานกว่านั้น เขาบอกว่าเธอจะมาถึงพรุ่งนี้"

"โห! เธอสวยมั้ย?" คำถามนี้มาจากแคล เอมเม็ทท์

"หวังว่าจะอายุไม่เกินห้าสิบน่ะ" เสียงนี้มาจากแจ็ค เบทส์

"หวังว่าจะไม่ใช่พวกครูแว่นสี่ตานะ" แฮปปี้แจ็คเสริมขึ้น .. ชื่อนี้ใช้เพื่อแยกเขาออกจากแจ็ค เบทส์ และอีกอย่างก็เพราะดวงตาสีจะเศร้าๆ ของเขาด้วย

"ทำไมไม่ให้คนอื่นไปรับเธอมาล่ะ?" ชิปเริ่มประโยค "แคลเหมาะกับงานนี้มากกว่า .. และเขาก็ยินดีที่จะไปด้วยซ้ำ"

"แคลอันตรายเกินไป เขาคงทำให้หญิงชราตายด้วยความรักตั้งแต่ยังไม่พ้นเนินเขาแรกด้วยตาสีฟ้าและรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเขา นายใหญ่เลยมอบหมายให้นายต่างหาก เจ้าเสี้ยนไม้"

"ปลอดภัยแน่นอนกับชิปน่ะ เขาจะไม่จีบเธอหรอก" แคลตอบโต้

"คิดว่าเธออายุเท่าไหร่?" แจ็ค เบทส์ถามซ้ำ พลางเทน้ำเชื่อมเกือบหมดขวดลงบนจาน อาหารเย็นวันนี้แพทซี่ทำบิสกิตอุ่นๆ และจุดอ่อนของแจ็คก็คือบิสกิตอุ่นๆ ราดน้ำเชื่อมเมเปิ้ล

"เรื่องอายุของเธอน่ะ" ชอร์ตี้กล่าว "แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่เด็กสาว เพราะเธอเป็นน้องสาวของนายใหญ่"

"เธอเป็นครูเหรอ?" ความเกลียดชังครูอย่างรุนแรงของแฮปปี้แจ็คมีมาตั้งแต่ตอนที่เขาได้เจอกับตัวอักษร A B C ซึ่งมาพร้อมกับไม้บรรทัดยาวๆ บางๆ เป็นของแถมทุกวัน

"ไม่ เธอไม่ใช่ครู เธอแย่กว่านั้นอีก; เธอเป็นหมอ"

"เอ้ย อย่ามาพูดเล่น!" แคล เอมเม็ทท์ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด

"ถูกต้องแล้ว นายใหญ่บอกว่าเธอเพิ่งเรียนจบหลักสูตรแพทย์ .. อะไรนะ พวกนายเรียกมันว่าอะไร?"

"วัณโรค อาจจะใช่ .. หรือไม่ก็พวกงู" เวียรียิ้มจืดๆ ข้ามโต๊ะ

"แต่เธอก็มีใบประกาศนี้นะ พวกนายว่าไง?"

"เออ .. แน่นอนว่าเธอเป็นหมอ" แคลครางโอดครวญ

"ฉิบหาย! นี่เธอไม่ต้องมาป้อนยาอะไรให้ฉันหรอกนะ" หนุ่มตัวใหญ่โวยวายขึ้นด้วย เขาคนนี้ซึ่งโดยปกติจะเป็นคนเอาจริงเอาจังกับชีวิต เป็นผู้ชายตัวโตเหมือนยักษ์ ผิวคล้ำ แถมล่ำบึกมากกว่าใครเพื่อนด้วยความสูงเกือบหกฟุตครึ่ง ซึ่งพวกหนุ่มๆ คนอื่นๆ เรียกชื่อเขาในเชิงประชดประชันว่า: สลิม

"เออ น่าสนุกดีนะ ถ้าเราต้อนรับเธอแบบอุ่นหนาฝาคั่ง" แจ็ค เบทส์ หนุ่มหุ่นสำอาง หล่อเหลาคมเข้มพูด ผู้ชายคนนี้มีชื่อเสียงเรื่องความเจ้าเล่ห์ แสบและซน "ฉันรู้จักพวกคนตะวันออกดี รู้ไปถึงรากเหง้าเลย พวกเขาคิดว่าคนต้อนวัวมีเขาจริงๆ นะ; ใช่ พวกเขาคิดแบบนั้น คิดว่าเราเป็นพวกป่าเถื่อนที่กินข้าวไป ยิงปืนไป อะไรประมาณนั้น พวกเขาทำให้ฉันเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง อยากรู้จังว่า ‘ยี่ห้อ’ ของเธอคืออะไร"

"ฉันสามารถบอกได้เลย" ชิปพูดอย่างเหน็บแนม "มีแค่สองแบบให้เลือกเท่านั้นแหละ แบบแรกคือ พวกสาวน้อยหวานแหวว ที่เป็นลมเมื่อเห็นปืนพกลูกโม่ กรี๊ดลั่นแล้วคว้าแขนนายไว้แน่นถ้าเธอเจองูเหลือมที่กำลังเลื้อยตัวนอนผึ่งแดดอยู่กลางทุ่ง และหน้าแดงก่ำถ้านายเผลอสบตากับพวกเธอ แถมยังร้องไห้โฮแน่ๆ ถ้านายไม่ถอดหมวกทุกครั้งที่เห็นพวกเธอแม้เธอจะอยู่ห่างออกไปไกลเป็นร้อยเมตร" ชิปยื่นแก้วให้แพทซี่เติมน้ำเชื่อม

"เออ เคยเจอพวกนั้นมาแล้วแหละ พวกเธอเจ๋งดี เหมาะกับฉัน" แคลพูดเสริม

"แต่มันไม่น่าเข้ากันกับใบประกาศนียบัตรแพทย์ของเธอเลยนะ" เวียรีแย้ง

"ก็ถูก ถ้าเธอเป็นอีกแบบ มันก็แย่ไปอีก! คุณพระคุณเจ้าช่วย ‘ฟลายอิ้งยู’ ด้วยเถอะ! เธอจะไปซื้อเดือยมาใส่ ขี่ม้าไล่ต้อนวัว คัดแยกฝูงลูกวัวป่า แถมยังประทับตราอีก อาจจะใส่กางเกงกระโปรง (กางเกงซ้อนกระโปรง) ขี่อานม้าแบบผู้ชาย สูบบุหรี่ เธอจะพยายามเหนือกว่าผู้ชายทุกอย่าง สุดท้ายก็กลายเป็นตัวตลกเว่อร์ๆ ซึ่งทั้งสองแบบนี้ก็แย่พอกัน"

"เดาว่าเธอคงไม่ใช่พวกไหนสักพวกหรอก" เวียรีเริ่มพูด "เดาว่าเธอเป็นสาวแก่ ผอมแห้ง แว่นตาโต จมูกโด่งแหลม ชอบเรียกรวมตัวพวกเราให้มาหาทุกวันอาทิตย์เพื่ออ่านบทเทศนาให้เธอฟัง แถมเธอยังจะเทศนาเรื่องโทษของยาเส้นกับตับที่พังพินาศ และความชั่วร้ายของบุหรี่ เหมือนปีศาจซ่อนอยู่ในกระดาษมวน! ฉันเคยเจอหมอผู้หญิงคนหนึ่ง สมัยที่ฉันต้อนวัวให้กับ ‘ที ดาวน์’ เธอช่างน่ากลัวราวกับเทวดาหล่นตุ๊บลงมาจากสวรรค์! เล่นเอาพวกเราพากันมุ่งหน้าหัวทิ่มหัวตำ มุดลงไปทางแดนใต้กันหมดได้ภายในอาทิตย์เดียว ส่วนฉันหนีออกจากฟาร์มทันทีที่ครบเดือนนั้นของฉันแล้ว"

"เดี๋ยวก่อน" แคลเอ่ยแทรก "พวกนายจำภาพถ่ายที่ชายชราได้มาเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนไม่ได้เหรอ รูปของน้องสาวของเขาไง เธอดูเหมือนนายใหญ่ของเราเด๊ะๆ แถมแก่อีกต่างหาก"

ชิปนึกถึงการเดินทางไกลพรุ่งนี้แล้วครางออกมาด้วยความทุกข์ทรมานใจอย่างแท้จริง

"นายคงไม่กล้าสูบบุหรี่ช่วงขากลับหรอก ชิป" แจ็คผู้สุขสันต์ทำนายด้วยน้ำเสียงแสนเศร้าโศก "นายคงอยากจะสูบสักสองเท่าตอนเดินทางขาไปมากกว่า"

"ฉันไม่คิดว่าฉันจะอยากสูบสองเท่าตอนเดินทางขาไปหรอกนะ" ชิปตอบกลับอย่างแห้งแล้ง "ถ้าหญิงชราไม่ชอบสไตล์ของฉัน เธอจะเดินมาเองก็ได้"

"เออน่า...ชิป" แจ็ค เบทส์แนะนำ "นายไปดูเธอที่สถานีรถไฟก่อน แล้วถ้าดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรล่ะก็ ปล่อยเชือกบนเนินละแวกละมั่งฮิลล์ เจ้าสองเฒ่าสีครีมจะจัดการเอง และถ้าไม่เป็นผล พวกเราก็จัดการต่อที่นี่แหละ"

ชอร์ตี้ถอยเก้าอี้เบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน: 

"พวกนายอย่าสนุกกันเพลินเกินไปนะ" เขาเตือน "นายใหญ่เพิ่งจะลืมเรื่องโรงเลี้ยงลูกวัวไปไม่นานนี้เอง" จากนั้นเขาก็เดินออกไป ปิดประตูตามหลัง เสียงดังเอี๊ยด

พวกหนุ่มๆ ชอบชอร์ตี้; เขาเชื่อในสุภาษิตโบราณที่ว่า 'บางครั้งความรู้ก็คือความสุข' และพวกเขาก็โชคดีที่ชอร์ตี้ยึดถือปรัชญานี้ โดยเขาเดาว่า 'ครอบครัวสุขสันต์' คงจะหยุดอยู่แค่ขอบเขต .. อย่างน้อยก็เคยเป็นแบบนั้นมาตลอด

"จะ​มีอะไรเล่นกันเหรอ?" แคล​ถาม​ด้วย​น้ำเสียง​แข็งกร้าวเมื่อประตู​ปิด​หลัง​ชอร์ตี้​ไปแล้ว​

"ก็… (ส่งไซรัปมาหน่อยแฮปปี) พรุ่งนี้วันอาทิตย์ พวกเราเลยจะมีเวลามันส์.. เราจะขุดปืนที่หาได้ทั้งหมด ขึ้นม้าตัวแสบที่สุดเท่าที่มี แล้วจัดงาน ‘ปาร์ตี้แขวนคอ’ แบบโบราณแท้ๆ .. เข้าใจไหม?"

"จะแขวนคอใคร?" สลิมถามด้วยความกังวล "อย่าคิดนะว่าฉันจะยอม"

"อ้าว อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลยน่า นายก็รู้ พลังของคนทั้งฟาร์มนี้ยังไม่พอที่จะดึงนายขึ้นจากพื้นดินหรอก เราไม่ได้จะสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันซะหน่อย" แจ็คผู้แสบสันต์พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยๆ "เราจะมีหุ่นจำลองติดอยู่ในบ้านสองชั้น เมื่อชิปและคุณหมอหญิงมองเห็นชั้นบน เราจะแยกตัวมาที่นี่พร้อมกับม้าและปืนของเรา และสร้างควันในฟาร์มอย่างมีสไตล์ เราจะลากคุณสตรอว์แมน(หุ่นฟาง)ออกไป และรุมประชาทัณฑ์เขาที่ประตูใหญ่ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา เมื่อพวกเขามาถึง เราจะ 'ยิงคุณหุ่นฟางด้วยกระสุน' และเมื่อถึงเวลานั้น เธอจะตะลึงจนไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือล่อที่เรามัดไว้"

"นายต้องจัดการเหยื่อของนายก่อนฉันไปถึงที่นั่น" ชิปยิ้ม "ฉันพาสองเฒ่าสีครีมผ่านประตูไม่ได้หรอก ถ้ามีคนแขวนไว้กับกรอบประตู เจ้าเฒ่าครีมมันต้องเตลิดเปิดเปิงแน่ๆ พวกมันคงโยนฉันกับหมอลงร่องน้ำข้างโรงเก็บของเก่า เหมือนที่เคยทำ"

"ก็ไม่เป็นไรหรอก หญิงชราคงรู้แน่ว่าตัวเองอยู่แถวตะวันตก เราต้องการอะไรสักอย่างมาเพิ่มความตื่นเต้นอยู่แล้ว"

"ถ้ารถม้าคันใหม่ของเจมส์ จี.กองรวมกันอยู่เป็นกองๆ นายจะอยากตัดความตื่นเต้นบางส่วนออกไป" ชิปตอบโต้

"เอาล่ะ เจ้าเสี้ยนไม้ เราจะไม่แขวนเขาไว้ตรงนั้น ต้นฝ้ายแก่ๆ ริมลำธารนั่นก็ใช้ได้เลย มันจะทำให้เลือดของเธอกลายเป็นก้อนเหมือนชีสฮอลแลนด์เมื่อเห็นเราลากเขามาทางนั้น - และไกลขนาดนั้น เธอคงมองไม่เห็นฟางที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อของเขาหรอก"

"แล้วถ้าเธออยากจะชันสูตรพลิกศพล่ะ?" ชิปแย็บ

"ให้ตายเหอะ! งั้นเราเอาเธอไปมัดกับมีดตัดฟางแล้วบอกให้เธอตามไปล่าเขาซะ!" สลิมร้องคำรามพลางลุกขึ้นมาอย่างพรวดพราดเพราะเพิ่งตระหนักถึงสถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว


…………. .⋆。♞˚

รถไฟขบวนเที่ยงวันแล่นออกจากคลังสีแดงเล็กๆ ที่ดรายเลค และเลี้ยวหายไปหลังเนินเขาจนพ้นสายตา ขณะที่ผู้มาเยือนเพียงคนเดียวของสถานีกำลังมองเข้าไปในห้องรับรองผู้โดยสารที่ไร้ชีวิตชีวาอย่างคาดหวัง เธอหันไปจ้องมองตามรถไฟที่ดูเหมือนเป็นสายใยสุดท้ายที่เชื่อมโยงเธอกับอารยธรรม จากนั้นก็เดินไปที่ขอบชานชาลาพร้อมกับรอยขมวดคิ้วอย่างเห็นได้ชัดบนหน้าผากที่โผล่ออกมาใต้หมวกสักหลาดของเธอ

ชายหนุ่มร่างท้วม ตัวใหญ่แต่ไม่สูงโยนกระสอบพัสดุลงบนรถม้าโทรมๆ แล้วขับช้าๆ ตามรางรถไฟไปยังไปรษณีย์ หญิงสาวมองตามเขาไปจนลับสายตาแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย เบื้องหน้าเธอคือทุ่งหญ้าโล่งกว้างเขียวชอุ่มที่เลือนรางที่ขึ้นอยู่ตามแอ่ง บางแอ่งดูรกร้างเป็นสีน้ำตาลบนยอดเขา นอกจากแท่นน้ำและสถานีรถไฟแล้ว ไม่มีบ้านเรือนให้เห็นเลย สภาพแวดล้อมอันเงียบสงัดและโดดเดี่ยวนั้นสร้างความอึดอัดให้กับเธอ

เจ้าหน้าที่ของสถานีกำลังขนกล่องลงจากชานชาลา หญิงสาวหันกลับมา เดินตรงเข้าไปหาเขาอย่างเด็ดเดี่ยว และสายตาอันราบเรียบของเธอก็ก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนในใจของเขา

"ไม่มีใครมารับฉันเลยเหรอ?" เธอถามเสียงกร้าวแม้มันจะไม่จำเป็นเลย "ฉันคือนางสาววิทมอร์ และพี่ชายของฉันมีไร่สักแห่งแถวนี้ ฉันเขียนจดหมายไปบอกเขาสองสัปดาห์ที่แล้วว่าฉันจะมา และฉันคาดหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะมารับฉัน" เธอสอดผมสีน้ำตาลที่ปลิวตามลมไว้ใต้หมวก มองเจ้าหน้าที่ด้วยสายตาตำหนิราวกับว่าเขาเป็นคนผิด ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้สึกขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับว่าความผิดนั้นเป็นของเขาและแก้มของเขาก็แดงก่ำด้วยความละอาย ชายคนนั้นยืนเตะกล่องส้มเบาๆ อย่างผู้สำนึกผิดในบาป

"รถม้าของวิทมอร์อยู่ที่เมือง" เขารีบพูด "ผมเห็นคนของเขามาถึงที่นี่ตอนกำลังกินข้าวมื้อเย็น เหมือนมีข่าวว่ารถไฟจะมาช้า แต่มันก็มาถึงทันเวลาที่กำหนดไว้พอดี" เขาพยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีอย่างสิ้นหวังและแอบกลืนคำขอโทษที่น่าอดสู ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในสำนักงานของเขา

มิสวิทมอร์เดินตามเขาไปสองสามก้าว แต่เปลี่ยนใจ เธอเดินไปมาบนชานชาลาด้วยความสงสารตัวเองอยู่ประมาณสิบนาที จากนั้นรถม้าของฟลายอิ้งยูก็แล่นมาพร้อมกับฝุ่นที่คละคลุ้ง เจ้าหน้าที่รีบออกไปช่วยยกหีบสองใบ ซึ่งมีแมนโดลินและกีตาร์ที่อยู่ในกล่องผ้าใบ

ทีมม้าคู่สีครีมยังคงวิ่งวนเป็นวงกลมอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนจะขึ้นมาประจำที่ชานชาลา ตัวสั่นระริกด้วยความกระหายที่จะออกวิ่งพรวดพราดไปข้างหน้า ดวงตาโตๆ ของมันกลิ้งไปมาอย่างกระวนกระวาย มิสวิทมอร์ขึ้นไปประจำที่นั่งอยู่ข้างชิป โดยภายในรู้สึกหวั่นใจปะปนกับความโล่งอก เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วสายบังเหียนก็ถูกคลายอย่างเผยิบผยาบ เพ็ตยืนชันตัวเองขึ้นบนขาหลังด้วยความดีใจ ส่วนพอลลี่ก็ทะยานพรวดพราดไปข้างหน้าอย่างหุนหัน

หญิงสาวกลั้นหายใจจนแทบหายใจไม่ออก ขณะที่ชิปเหลือบมองเธออย่างเฉียบคมจากหางตาของเขาเอง เขาหวังว่าเธอจะไม่กรีดร้อง เขาเกลียดผู้หญิงที่กรีดร้อง เขาตัดสินใจหลังจากการมองสำรวจอย่างรวดเร็วว่า ‘เธอดูเด็กเกินไปที่จะเป็นหมอ’ และเขาก็ภาวนาขอให้เธอไม่ใช่ประเภทสาวน้อยหวานแหวว เพราะเขาไม่มีความอดทนกับผู้หญิงแบบนั้น: แต่ความจริงแล้ว เขาเองก็ไม่เคยมีความอดทนกับผู้หญิงคนไหนเลยต่างหาก

เขาพูดกับม้าด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ซึ่งม้าก็เชื่อฟังและเปลี่ยนจังหวะเป็นการเดินเหินยาวๆ ที่มั่นคงอย่างไม่รู้จักเหนื่อย จนกระทั่งหัวใจของหญิงสาวกลับมาเต้นเป็นปกติอีกหน

สองไมล์ผ่านไปรวดเร็วท่ามกลางความเงียบเชียบระหว่างคนสองคน จากนั้น มิสวิทมอร์ก็บังคับตัวเองให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน และสังเกตว่าชายหนุ่มข้างกายเธอไม่ได้เปิดปากพูดอะไรเลย ยกเว้นตอนที่เขาพูดกับม้าของเขาแค่ครั้งเดียวที่ชานชาลา; เธอหันศีรษะไปมองเขาด้วยความสงสัย ชิปรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาก็เกิดอาการต่อต้านขึ้นมาภายในใจทันที

มิสวิทมอร์ตัดสินใจหลังจากการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดว่าเธอค่อนข้างชอบรูปลักษณ์ของเขา แม้เขาจะไม่ค่อยดูเป็นหนุ่มผู้ยิ้มแย้มแจ่มใสสักเท่าไหร่ก็ตาม … บางทีเธอคิดว่าเธอน่าจะเบื่อหนุ่มๆ ประเภทชอบยิ้มแย้มพวกนั้นไปบ้างแล้วก็ได้ 

ใบหน้าที่เรียวยาวของเขาดูสง่า และแข็งแกร่ง .. ความแข็งแกร่งนั้นมาจากคิ้วที่ได้ระดับ สันจมูกที่โด่งตรง และคางเหลี่ยม ผสานกับริมฝีปากที่ดูขัดแย้งกันเอง นั่นคือ: มันดูโค้งมนและบอบบางราวกับริมฝีปากของผู้หญิง แต่ความสง่าเป็นเสน่ห์ที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ไม่ใช่ลักษณะเด่นใดในลักษณะเด่นหนึ่ง แต่แฝงอยู่ทั่วทั้งใบหน้า ส่วนดวงตา เธอยังคาดเดาสีของพวกมันไม่ออก เพราะยังไม่เคยเห็นมันตรงๆ เลยสักหน แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า สาวๆ หลายคนคงยอมทุ่มเทอะไรหลายอย่างเพื่อให้ได้ขนตาแบบนั้นมาครอบครอง

ฉับพลันสายตาของเขาก็ละจากเส้นทางและหันมาสบตากับเธออย่างตรงไปตรงมา ซึ่งถ้าหากว่าเขาตั้งใจจะทำให้เธอเขินอายล่ะก็ บอกเลย เขาล้มเหลว - เพราะเธอไม่เพียงแค่ยิ้มและพูดกับตัวเองว่า: 'อ๊ะ! พวกมันเป็นสีน้ำตาลแกมทอง'

"คุณไม่คิดว่าเราควรจะแนะนำตัวสักหน่อยเหรอ?" เธอถามอย่างใจเย็นเมื่อมั่นใจแล้วว่าดวงตาของเขาไม่ใช่สีน้ำตาลธรรมดา

"อาจจะ" น้ำเสียงของชิปสุภาพ ราบเรียบ

มิสวิทมอร์เคยสงสัยว่าเขาอาจจะขี้อายอย่างน่าเจ็บปวดตามแบบฉบับของชายหนุ่มชาวชนบท แต่ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาเป็นปรปักษ์อย่างอดทน

"แน่นอน คุณรู้จักชื่อของฉันอยู่แล้ว: ฉันคือเดลลา วิทมอร์" เธอพูด

ชิปใช้แส้ปัดแมลงวันออกจากสีข้างของพอลลี่อย่างระมัดระวัง

"ผมยอมรับว่า ผมได้รับมอบหมายให้ไปรับ ‘มิสวิทมอร์’ ที่สถานีรถไฟ และผมก็เห็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตา"

"คุณรับคนมาถูกคนแล้ว แต่ฉันไม่ใช่ ฉันไม่มีทางรู้เลยแม้แต่น้อยว่าคุณเป็นใคร" 

"ผมชื่อ โคล์ท เบนเน็ทท์ และยินดีที่ได้รู้จักคุณ"

"ฉันไม่อยากจะเชื่อหรอก..คุณดูไม่ค่อยยินดีเลย" มิสวิทมอร์พูดพร้อมกับรู้สึกขำขันอยู่ในใจ

"นั่นเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่จะพูดเมื่อคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผู้หญิง" ชิปพูดอย่างไม่ใส่ใจ แม้ริมฝีปากของเขาจะกระตุกนิดหน่อยที่มุมของมันก็ตาม และมิสวิทมอร์ก็คิดไม่ออกว่าจะตอบโต้อย่างไรกับประโยคที่จริงใจข้อนี้ หลังจากเงียบไปสักพัก เธอก็ออกความเห็นว่า: "ลมแรงจัง"

"ใช่" ชิปเห็นด้วยว่าวันนี้อากาศมีลมแรง แล้วจากนั้นบทสนทนาก็เงียบงันลง

มิสวิทมอร์ถอนหายใจทำลายความเงียบบนรถม้าข้างคนขับก่อนหันไปศึกษาภูมิประเทศ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสันเขาแหลมคมสลับกับหุบเหวแคบ ถูกน้ำกัดเซาะจนดูหม่น มีแนวเทือกเขาสีม่วงอยู่ทางซ้าย และหลังจากผ่านไปหลายไมล์ เธอก็พูดขึ้นว่า:

"ดูนู่นสิ นั่นสัตว์อะไรน่ะ? มันจะมีสุนัขที่ไหนมาเดินเตร็ดเตร่ในที่รกร้างแบบนี้ตัวเดียวลำพังด้วยเหรอ?"

ชิปมองตามนิ้วมือที่ชี้ของเธอ

"นั่นมันหมาป่า โคโยตี้ .. ผมจะยิงมัน .. พวกมันเป็นวายร้ายตัวแสบแถวนี้เลยแหละ คุณรู้ไหม" เขาเหลือบมองปืนไรเฟิลที่อยู่ใต้เท้าของเขาเอง "ถ้าคุณพอจะคุมม้าไว้สักนาที "

"อ๊ะ! ฉันทำไม่ได้หรอก! ฉัน .. ฉันไม่คุ้นเคยกับม้าเลย แต่ฉันยิงปืนได้บ้างนิดหน่อย"

ชิปเหลือบมองเธออย่างรวดเร็วเพื่อประเมินสถานการณ์; หมาป่าหยุดอยู่กับที่ นั่งยองลงบนขาหลังพร้อมกับจมูกแหลมๆ ของมันชี้มาทางพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชิปชะลอความเร็วของทีมม้าคู่สีครีมลงเหลือเป็นเพียงแค่จังหวะก้าวเดิน จากนั้นก็ยกปืนขึ้นมาวางบนตัก ใส่กระสุนเข้ารังเพลิงและปรับศูนย์

"งั้น คุณลองยิงดูก็ได้นะ ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ ผมจะหยุดม้า คุณควรจะยืนขึ้นนะ เดี๋ยวผมจะคอยดูไม่ให้คุณล้ม พร้อมไหม? .. โฮ่! เพ็ต!"

มิสวิทมอร์ไม่ค่อยชอบน้ำเสียงประเภทตั้งคำถามของเขาสักเท่าไหร่ แต่เธอก็ยืนขึ้น เล็งปืนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ แล้วลั่นไก

เพ็ตกระโดดสุดแรงและลุกขึ้นยืนสองขา แต่ชิปคาดการณ์เหตุการณ์ไว้แล้ว เขาควบคุมม้าทั้งสองตัวและควบคุมพวกมันได้ แม้จะต้องคว้ามิสวิทมอร์ไว้ก่อนที่เธอจะเซไปด้านหลังและทำท่าจะหล่นลงไปบนกระเป๋าเดินทางซึ่งวางอยู่ด้านหลังเบาะ เพราะการล้มแบบนั้นคงส่งผลไม่ดีต่อทั้งกีตาร์และแมนโดลิน ที่ถึงแม้มันจะไม่ส่งผลใดต่อผู้หญิงคนนี้เลยก็ตาม

หมาป่ากระโดดขึ้นสูงกลางอากาศ หมุนคว้างอย่างน่ามึนหัว แล้วพุ่งหนีหายไปพ้นเนินเขา

"คุณยิงโดนมัน!" ชิปตะโกน ลืมอคติที่มีต่อเธอไปชั่วขณะ เขาหักม้าคู่สีครีมออกนอกทาง จิตใจเต็มไปด้วยเลือดนักล่า ส่วนมิสวิทมอร์ซึ่งก็ทำได้เพียงแค่ยึดปืนและเกาะเบาะไว้ให้แน่นที่สุด และเธอคงจะจดจำการไล่ล่าสุดเหวี่ยง–ทั้งขึ้นเขาแล้วลงหุบเหวครั้งนี้ไปอีกนานโดยหวังว่าคนขับจะรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ - ซึ่งแน่นอน เขารู้ดี

"นั่นไง! มันกำลังแอบลงไปตามหุบเหวนั่น! ถ้าเราไม่รีบไปดักหน้ามัน มันคงมุดเข้าไปซ่อนในร่องน้ำท่วมเก่าแน่ เดี๋ยวผมจะขับอ้อมไปทางโน้น คุณจะได้ยิงมันอีกนัด!" ชิปตะโกน เขาบังคับม้าขึ้นเนินอีกครั้งจนกระทั่งเห็นหมาป่าที่กำลังหมอบตัวต่ำ เผยร่างออกมาอย่างชัดเจน

"นั่นไง ยิงได้สวยเลย ใส่กระสุนอีกนัดสิ เร็วเข้า! คราวนี้คุณคุกเข่าบนเบาะดีกว่านะ ม้ารู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น .. นิ่งไว้ พอลลี่ สาวน้อยของฉัน!" 

มิสวิทมอร์เหลือบมองลงไปด้านล่างเนินเขาแล้วหันมาทอดสายตาอย่างหวาดหวั่นไปที่ทีมม้าคู่สีครีม พวกมันกำลังกระทืบกีบเท้าสีเงินของมัน ตาเบิกโพลง ตัวสั่น มีเพียงเสียงที่คุ้นเคยและมือที่ควบคุมบังเหียนอย่างมั่นคงของเจ้านายเท่านั้นที่รั้งพวกมันไว้ได้ - ชิปเห็นแววตานั้น และตีความไปในทางลบหลู่เล็กน้อย

"อ๋อ แน่นอน ถ้าคุณกลัว.. "

มิสวิทมอร์กัดฟันกรอด คุกเข่าลงและยิง ตัดบทคำพูดที่ยังค้างอยู่ในปากของเขา บังคับให้เขาต้องจดจ่อความสนใจทั้งหมดไปที่ม้าซึ่งกำลังมีทีท่าจะพุ่งหนี

"คราวนี้ฉันน่าจะยิงโดนมันนะ" เธอบอกอย่างไม่แยแส พร้อมกับสวมหมวกกลับเข้าที่เดิม - แม้ชิปจะเหลือบมองอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าขอบริมฝีปากของเธอซีดลงเล็กน้อย

เขาบังคับม้าทั้งสองตัวกลับเข้าสู่ถนนอย่างคล่องแคล่วและทำให้พวกมันสงบลง

"คุณจะไม่ไปเอาหมาป่าของฉันเหรอ?" เธอเอ่ยถามอย่างกล้าหาญ

"แน่นอน ถนนจะวกกลับลงไปที่หุบเหวเดียวกันนั้นอีกหน เราจะผ่านมันพอดี แล้วเดี๋ยวผมจะลงไปเก็บมันเอง คุณคอยคุมม้าไว้ก็พอ"

"คุณจะคุมม้าพวกนี้เอง!" มิสวิทมอร์ตอบกลับมาด้วยจิตใจที่เบิกบาน "ฉันอยากจะไปเก็บหมาป่ามากกว่า ขอบคุณ"

ไม่ว่าเขาจะคิดเห็นอย่างไรก็ตาม ชิปก็ไม่ได้พูดอะไรกับประโยคนี้ เขาเคลื่อนรถม้าเข้าไปใกล้หมาป่าพร้อมกับการปลอบโยนเพ็ตและพอลลี่ที่กำลังมองวัตถุสีเทาด้วยสายตาระแวงคลางแคลงใจ มิสวิทมอร์กระโดดลงจากรถและคว้าหางสัตว์ที่หยาบและเป็นพวงด้วยมือของเธอ

"คุณพระคุณเจ้าช่วย! มันตัวหนักจัง!" เธออุทานหลังจากดึงมันครั้งเดียว

ชิปเหยียบเบรกแล้วเอ่ยว่า "มันคงอ้วนขึ้นจากการล่าลูกโคฟลายอิ้งยูมาเป็นอาหารน่ะ"

มิสวิทมอร์คุกเข่าลงและตรวจสอบ ‘เจ้าโจรขโมยโค’ อย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"ดูสิ" เธอพูด "นี่คือรอยที่ฉันยิงมันครั้งแรก กระสุนวิ่งเฉียงจากหัวไหล่ไปทางด้านหลังอีกข้าง มันน่าจะเฉียดไปไม่ถึงนิ้วจากหัวใจของมัน และคงทำให้มันตายในไม่ช้า ถ้าไม่โดนยิงอีกนัด .. กระสุนนัดนี้เข้าไปที่สมองของมันอย่างที่คุณเห็น ตายทันทีเลย"

ชิปใช้โอกาสที่หยุดรถ มวนบุหรี่ ระหว่างนั้นเขาก็ยังคงคุมบังเหียนไว้แน่นด้วยหัวเข่า แตะปลายลิ้นบนกระดาษมวนที่บริเวณปลายของมัน พลางมองหญิงสาวด้วยความสงสัย

"ดูเหมือนคุณจะเก่งเรื่องแบบนี้สินะ" เขาพูดอย่างแห้งแล้ง

"ฉันก็ควรจะเก่งน่ะแหละ" เธอกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบาๆ "ฉันเรียนรู้วิชาการรักษาสัตว์มาตั้งแต่สิบสี่เองนะ"

"อ๋อ? คุณเริ่มเร็วเนอะ"

"ลุงจอห์นของฉันเป็นหมอ ฉันอยู่ช่วยงานของเขาที่คลินิกจนกระทั่งเขาช่วยให้ฉันเข้าเรียนแพทย์ ฉันโตมากับบรรยากาศของยาฆ่าเชื้อ และเรียนรู้ชื่อกระดูกทั้งหมดใน 'โบนปาร์ต (โครงกระดูกจำลอง)' ของลุงจอห์น ก่อนที่จะรู้จักตัวอักษรทั้งหมดซะอีก" เธอลากหมาป่าเข้ามาใกล้ล้อรถ

"ขอผมจับหางของมันหน่อยสิ" ชิปดับไฟที่ปลายไม้ขีดด้วยคีมปั่นบุหรี่อย่างระมัดระวังแล้วโยนทิ้งไปก่อนจะโน้มตัวลงไปช่วยเธอยกมันขึ้นมา ด้วยการยกสั้นๆ เขาวางสัตว์ที่หมดเรี่ยวแรงและเต็มไปด้วยเลือดลงบนหีบเดินทางใบใหญ่ที่สุดของมิสวิทมอร์อย่างพอดีที่ปลายปากแหลมๆ ของมันห้อยลงมาด้านข้าง เขี้ยวสีขาวโผล่ออกมาเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัว .. ตอนแรกหญิงสาวมองดูมันด้วยความภูมิใจ แต่แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นตกใจในตอนนี้

"โอ๊ย! เลือดมันไหลเยิ้มไปทั่วกล่องใส่แมนโดลินของฉันเลย .. แล้วมันก็ต้องล้างออกไปไม่หมดแน่ๆ!" เธอดึงกล่องใส่เครื่องดนตรีอย่างกระวนกระวาย

"ออกไปซะ ไอ้รอยเปื้อนน่ารังเกียจ!" ชิปท่องบทสวดศพด้วยน้ำเสียงทึมๆ ก่อนจะหันไปช่วยเธอ

มิสวิทมอร์ปล่อยมือจากกล่องใส่แมนโดลิน เบิกตาโพลงและมองขึ้นมาหาเขา .. ชิปรู้สึกขุ่นเคืองที่เธอแปลกใจอย่างเปิดเผยที่เขาท่องบทละครของเชกสเปียร์ออกมาได้ - เขาข่มความรู้สึก เม้มปากสนิท และกลับเข้าสู่ความเงียบขรึมอีกครั้ง

ฝากติดตามผลงานแบบฉบับอีบุ๊คที่นี่นะคะ
♥ #romancenovels #love #classic #romantic #fiction #western #Cowboy #ChipOfTheFlyingU #2024Trends สุดปัง .⋆。~˚ ♥

นิยายสั้น..มันส์..แซ่บซ่าน ที่ใครได้อ่านจะนิพพานสีชมพู~*